เชียร์ซื้อ COCOCO เคาะเป้า 15 บาท
อัพเดทล่าสุด: 28 ม.ค. 2025
296 ผู้เข้าชม
COCOCO รุกขยายฐานการผลิต ทุ่มงบจัดตั้งบริษัทย่อย "Novococonut" ประเทศฟิลิปปินส์ จัดตั้งโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ รองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมบุกสหรัฐฯ ยุโรป เดินหน้าเพิ่มยอดขาย ด้านโบรกฯ มองช่วยลดความผันผวนต้นทุนราคามะพร้าว ส่งผลให้ต้นทุนรวมต่ำลง พร้อมประเมินผลงานทั้งปี 2568 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 875 ล้าน พร้อมให้คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 15 บาท/หุ้น
ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ มูลค่าประมาณ 430 ล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ ให้สอดคล้องกับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองต่อยอดคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ทั้งนี้ ภายหลังการลงทุนโครงการดังกล่าว จะทำให้กำลังการผลิตสูงสุดของผลิตภัณฑ์กะทิเพิ่มขึ้นจากเดิม 99,000 ตันต่อปี เป็นประมาณ 155,000 ตันต่อปี ซึ่งการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เพื่อนับสนุนต่อการขยายยอดขายของบริษัทในสหรัฐฯ และยุโรป ให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งที่สหรัฐฯ และยุโรปเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยการขยายกำลังการผลิตครั้งนื้จะส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจ
สำหรับแผนงานดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ผ่านบริษัทย่อยที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ ภายใต้ชื่อ Novococonut ซึ่งได้มีการทำสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวเป็นระยะเวลา 25 ปี ใน Anflo Industrial Estate (AIE) เพื่อก่อสร้างอาคารโรงงานสำหรับไลน์การผลิต ผลิตภัณฑ์กะทิและส่งออกสินค้าดังกล่าวให้แก่ลูกค้าของบริษัท รวมถึงลงทุนในอาคาร เครื่องจักร และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยคาดว่าการก่อสร้างอาคารโรงงานและการติดตั้งเครื่องจักรจะแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการผลิตได้ประมาณไตรมาสที่ 1/69 และเริ่มรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์
"โครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ จะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตมะพร้าวที่มีต้นทุนต่ำ สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในกรอบความร่วมมือต่างๆ เช่น ASEAN Free Trade Area (AFTA) และบริษัทมีแผนให้บริษัทย่อยของบริษัทที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ขอรับสิทธิประโยชน์จากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากจากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการสนับสนุนอื่นๆ"
นอกจากนี้ การลงทุนตั้งโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถนำส่งวัถตุดิบน้ำมะพร้าวกลับมายังประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเข้าทำรายการครั้งนี้ บริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินสัดส่วน 90% และกระแสเงินสดภายในบริษัท สัดส่วน 10% โดยคาดว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/68 ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
"การลงทุนในฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้ COCOCO ขยายการเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากมองว่าเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ COCOCO มั่นใจว่าเป็นการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตให้กับผู้ถือหุ้น และจะช่วยขยายการเติบโต โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้ในอนาคต ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ บริษัทจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการลดต้นทุนและการรักษาคุณภาพสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับโลกได้ สะท้อนมายังผลการดำเนินงานที่คาดมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต" ดร.วรวัฒน์ กล่าว
ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นที่ COCOCO อนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดความผันผวนต้นทุนราคามะพร้าวได้ และต้นทุนรวมที่ต่ำลง พร้อมกับตอบสนอง demand ความต้องการสินค้าได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ margin ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 4/67 อ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน จากต้นทุนมะพร้าวที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันประเมินกำไรสุทธิปี 2567 และ 2568 ที่ 875 และ 1,157 ล้านบาท เติบโต 71% และ 32%จากปีก่อนตามลำกับ ทำให้การลงทุนในหุ้น COCOCO ยังตคงให้คำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายที่ที่หุ้น 15.00 บาท
*****************************
ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ มูลค่าประมาณ 430 ล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ ให้สอดคล้องกับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองต่อยอดคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ทั้งนี้ ภายหลังการลงทุนโครงการดังกล่าว จะทำให้กำลังการผลิตสูงสุดของผลิตภัณฑ์กะทิเพิ่มขึ้นจากเดิม 99,000 ตันต่อปี เป็นประมาณ 155,000 ตันต่อปี ซึ่งการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เพื่อนับสนุนต่อการขยายยอดขายของบริษัทในสหรัฐฯ และยุโรป ให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งที่สหรัฐฯ และยุโรปเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยการขยายกำลังการผลิตครั้งนื้จะส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจ
สำหรับแผนงานดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ผ่านบริษัทย่อยที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ ภายใต้ชื่อ Novococonut ซึ่งได้มีการทำสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวเป็นระยะเวลา 25 ปี ใน Anflo Industrial Estate (AIE) เพื่อก่อสร้างอาคารโรงงานสำหรับไลน์การผลิต ผลิตภัณฑ์กะทิและส่งออกสินค้าดังกล่าวให้แก่ลูกค้าของบริษัท รวมถึงลงทุนในอาคาร เครื่องจักร และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยคาดว่าการก่อสร้างอาคารโรงงานและการติดตั้งเครื่องจักรจะแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการผลิตได้ประมาณไตรมาสที่ 1/69 และเริ่มรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์
"โครงการลงทุนในประเทศฟิลิปินส์ จะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตมะพร้าวที่มีต้นทุนต่ำ สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในกรอบความร่วมมือต่างๆ เช่น ASEAN Free Trade Area (AFTA) และบริษัทมีแผนให้บริษัทย่อยของบริษัทที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ขอรับสิทธิประโยชน์จากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากจากสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (PEZA) เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการสนับสนุนอื่นๆ"
นอกจากนี้ การลงทุนตั้งโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถนำส่งวัถตุดิบน้ำมะพร้าวกลับมายังประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเข้าทำรายการครั้งนี้ บริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินสัดส่วน 90% และกระแสเงินสดภายในบริษัท สัดส่วน 10% โดยคาดว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/68 ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
"การลงทุนในฟิลิปปินส์เป็นการเปิดโอกาสให้ COCOCO ขยายการเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากมองว่าเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ COCOCO มั่นใจว่าเป็นการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตให้กับผู้ถือหุ้น และจะช่วยขยายการเติบโต โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้ในอนาคต ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ บริษัทจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการลดต้นทุนและการรักษาคุณภาพสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับโลกได้ สะท้อนมายังผลการดำเนินงานที่คาดมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต" ดร.วรวัฒน์ กล่าว
ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นที่ COCOCO อนุมัติโครงการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดความผันผวนต้นทุนราคามะพร้าวได้ และต้นทุนรวมที่ต่ำลง พร้อมกับตอบสนอง demand ความต้องการสินค้าได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ margin ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 4/67 อ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน จากต้นทุนมะพร้าวที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันประเมินกำไรสุทธิปี 2567 และ 2568 ที่ 875 และ 1,157 ล้านบาท เติบโต 71% และ 32%จากปีก่อนตามลำกับ ทำให้การลงทุนในหุ้น COCOCO ยังตคงให้คำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายที่ที่หุ้น 15.00 บาท
*****************************
บทความที่เกี่ยวข้อง
Capital One น้อมรับคำสั่งและเคารพการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต.หลังมีคำสั่งพักการให้ความเห็นชอบในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นระยะเวลา 1 ปี ด้านผู้บริหารยัน ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจำกัดอยู่เฉพาะในกระบวนการตรวจสอบสถานะกิจการบางส่วน ยันไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริต การตกแต่งข้อมูลทางบัญชี หรือการให้ข้อมูลเท็จเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
23 มิ.ย. 2025
NDR ปลุกกระแสยางรถจักรยานยนต์ ผุดแคมเปญ "PROUD TO BE INTREND" เปิดตัว "ลำไย ไหทองคำ" ขึ้นแท่น Brand Ambassador ส่งเสริมกลยุทธ์ทางการตลาด สร้างแบรนด์ ND Rubber ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ด้านแผนการปีนี้ รุกขยายฐานกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ วางเป้ารายได้แตะระดับ 1,000 ล้าน
23 มิ.ย. 2025
MEDEZE ให้การต้อนรับ "พล.อ.เลิศรัตน์" เข้ารับบริการ "การเก็บสเต็มเซลล์จากไขมัน" เพื่อวางรากฐานสุขภาพระยะยาวและการดูแลตัวเองอย่างยั่งยืนในอนาคต ระบุนับเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับความสนใจในกลุ่มผู้รักสุขภาพ ทั้งยังสามารถดำเนินการได้ในทุกช่วงวัย
23 มิ.ย. 2025