LEO ยันทีมผู้บริหารกอดหุ้นแน่น
อัพเดทล่าสุด: 21 ม.ค. 2025
137 ผู้เข้าชม
LEO ออกตัวสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้น รวมทั้งนักลงทุน ระบุมีผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการนำหุ้นไปวางค้ำประกันเงินกู้ สุดท้ายถูก Forced Sell ส่งผลให้ราคาหุ้นกระดานปรับตัวลดลงแรง ยันทีมผู้บริหารไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยังกอดหุ้น LEO อย่างเหนียวแน่น การันตีพื้นฐานธุรกิจยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก จากการขยายฐานธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ดันผลงานปี 68 โตระดับ 20-25% ตามเป้าที่วางไว้
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า จากกรณีการขายหุ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 มีปริมาณการซื้อขายหุ้น LEO ในลักษณะที่ไม่ปกติ และราคาลดลงมามาก เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นผู้ถือหุ้นรุ่นก่อตั้งของบริษัทที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการ นำหุ้นไปวางค้ำประกันเงินกู้ และถูกบังคับขายหุ้นออกมา (Forced Sell)
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคลและไม่ได้เกี่ยวของกับบริษัทหรือคณะกรรมการของบริษัท เนื่องจากเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล โดยผู้ที่นำหุ้นไปค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้เป็นคณะกรรมการของบริษัท อีกทั้งคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัทยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารจัดการบริษัทให้เป็นไปตามแผน ชูกลยุทธ์ LEO Go Green ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างความยั่งยืน พร้อมต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics สร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้าน Warehouse / Distribution Center ดันผลงานปี 2568 ให้มีการเติบโต 20-25% และมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics เพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างน้อย 30-35% ของภาพรายได้รวม และทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทสูงขึ้น
"ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LEO ยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของบริษัท และที่ผ่านมาก็มีแต่ทยอยเก็บซื้อหุ้นเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปี 2567 ที่ผ่านมา ตนและภรรยาก็ยังมีการซื้อหุ้นของ LEO รวมกันเป็นจำนวน 600,000 หุ้น"
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 ทาง LEO เดินตามแผนยุทธศาสตร์ LEO Go Green ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตกำไรขั้นต้นและผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ๆ (New Business Units) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ Self-Storage และ Wine Storage สาขาถนนพระราม 4 รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ได้มีการจัดตั้งในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว ของบริษัท LaneXang Express การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang LEO Multimodal Logistics การให้บริการศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้าของบริษัท Advantis LEO และการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนจากบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ซึ่งบริษัทดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึงโครงการ JV และ M&A อีกหลายโครงการที่อยู่ในแผนธุรกิจในปี2568
"เชื่อมั่นว่า ปี 2568 รายได้และกำไรขั้นต้นของบริษัทจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาจากการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีน รวมทั้งธุรกิจของ Non-Logistics Business จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่นอน"
สำหรับหนึ่งในแผนการสำคัญของ LEO ในปี 2568 คือการพัฒนาระบบขนส่งรถไฟจีน-ไทย ด้วยตู้ Reefer Containers ให้เป็นระบบแบบขนส่ง Round trip มีสินค้าขาไปและขากลับ ระหว่างประเทศจีน-ไทย โดย LEO จะเป็นผู้จัดหาสินค้าส่งออกจากประเทศไทยมายังจีน และทางฝ่ายจีนก็จะช่วยหาสินค้าส่งออกจากประเทศจีนกลับมายังประเทศไทย โดย LEO มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ End-to-End Global Logistics Service Provider และเครือข่ายของ LaneXang Express ในประเทศจีนและไทยจะสามารถช่วยยกระดับการให้บริการเข้าสู่มาตรฐานสากล ผลักดันให้การขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างจีน-ไทย ให้ประสบความสำเร็จ และสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าทั้งในประเทศไทยและจีน
"บริษัทมุ่งมั่นให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ LEO จึงได้ประกาศแผนกลยุทธ์ที่พร้อมส่งมอบบริการโลจิสติกส์ภายใต้คอนเซ็ปต์ LEO Go Green สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในฐานะผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง" นายเกตติวิทย์ กล่าว
************************
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า จากกรณีการขายหุ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 มีปริมาณการซื้อขายหุ้น LEO ในลักษณะที่ไม่ปกติ และราคาลดลงมามาก เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นผู้ถือหุ้นรุ่นก่อตั้งของบริษัทที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการ นำหุ้นไปวางค้ำประกันเงินกู้ และถูกบังคับขายหุ้นออกมา (Forced Sell)
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคลและไม่ได้เกี่ยวของกับบริษัทหรือคณะกรรมการของบริษัท เนื่องจากเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล โดยผู้ที่นำหุ้นไปค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้เป็นคณะกรรมการของบริษัท อีกทั้งคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัทยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารจัดการบริษัทให้เป็นไปตามแผน ชูกลยุทธ์ LEO Go Green ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างความยั่งยืน พร้อมต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics สร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้าน Warehouse / Distribution Center ดันผลงานปี 2568 ให้มีการเติบโต 20-25% และมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics เพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างน้อย 30-35% ของภาพรายได้รวม และทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทสูงขึ้น
"ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LEO ยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของบริษัท และที่ผ่านมาก็มีแต่ทยอยเก็บซื้อหุ้นเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปี 2567 ที่ผ่านมา ตนและภรรยาก็ยังมีการซื้อหุ้นของ LEO รวมกันเป็นจำนวน 600,000 หุ้น"
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 ทาง LEO เดินตามแผนยุทธศาสตร์ LEO Go Green ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตกำไรขั้นต้นและผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ๆ (New Business Units) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ Self-Storage และ Wine Storage สาขาถนนพระราม 4 รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ได้มีการจัดตั้งในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว ของบริษัท LaneXang Express การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang LEO Multimodal Logistics การให้บริการศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้าของบริษัท Advantis LEO และการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนจากบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ซึ่งบริษัทดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึงโครงการ JV และ M&A อีกหลายโครงการที่อยู่ในแผนธุรกิจในปี2568
"เชื่อมั่นว่า ปี 2568 รายได้และกำไรขั้นต้นของบริษัทจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาจากการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีน รวมทั้งธุรกิจของ Non-Logistics Business จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่นอน"
สำหรับหนึ่งในแผนการสำคัญของ LEO ในปี 2568 คือการพัฒนาระบบขนส่งรถไฟจีน-ไทย ด้วยตู้ Reefer Containers ให้เป็นระบบแบบขนส่ง Round trip มีสินค้าขาไปและขากลับ ระหว่างประเทศจีน-ไทย โดย LEO จะเป็นผู้จัดหาสินค้าส่งออกจากประเทศไทยมายังจีน และทางฝ่ายจีนก็จะช่วยหาสินค้าส่งออกจากประเทศจีนกลับมายังประเทศไทย โดย LEO มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ End-to-End Global Logistics Service Provider และเครือข่ายของ LaneXang Express ในประเทศจีนและไทยจะสามารถช่วยยกระดับการให้บริการเข้าสู่มาตรฐานสากล ผลักดันให้การขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างจีน-ไทย ให้ประสบความสำเร็จ และสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าทั้งในประเทศไทยและจีน
"บริษัทมุ่งมั่นให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ LEO จึงได้ประกาศแผนกลยุทธ์ที่พร้อมส่งมอบบริการโลจิสติกส์ภายใต้คอนเซ็ปต์ LEO Go Green สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในฐานะผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง" นายเกตติวิทย์ กล่าว
************************
บทความที่เกี่ยวข้อง
MMM ตอกย้ำศักยภาพในการดำเนินธุรกิจเติบโตโดดเด่น ประกาศจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง 5 ไตรมาส ล่าสุดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.12 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้น XD วันที่ 16 กรกฎาคมนี้ พร้อมเตรียมเสนอขาย PO จำนวนไม่เกิน 64 ล้านหุ้น ย้ายจากตลาด LiVEx เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai
2 ก.ค. 2025
GCAP GOLD ประเมินราคาทองคำยังเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ตะวันออกกลางที่ผ่อนคลายลง ส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง แนะกลยุทธ์ทยอยสะสมที่ Gold Spot ที่3,220 / 3,200 เหรียญ
2 ก.ค. 2025
A5 เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังยังคงมุ่งบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงจำนวนมาก เดินหน้ารักษาความสามารถทำกำไร หลังตุนแบ็คล็อกกว่า 730.47 ล้านบาท เตรียมเปิดโครงการใหม่บนทำเลศักยภาพ พร้อมเตรียมระดมทุนออกหุ้นกู้ชุดใหม่
2 ก.ค. 2025