หุ้นนี้มีประเด็น
หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สิ่งแรกที่ลงมือทำคือการสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นไปทั่วโลก ด้วยการประกาศตั้งกำแพงภาษีนำเข้า 50 ประเทศ ขณะที่ไทยแลนด์โดนไป 37% แน่นอนว่า ผลกระทบรอบนี้รุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นหลังจากนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะไม่มีมีปัจจัยบวกอะไรที่โดดเด่นเข้ามาสนับสนุนการลงทุน จนนักวิเคราะห์หลายค่ายได้ออกมาปรับลดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ลงเหลือที่ระดับ 1,200-1,350 จุดเท่านั้น เพราะมองว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก และความไม่แน่นอนด้านภาษีการค้า การลงทุนจึงต้องเลือกหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว ทั้งแผนการดำเนินธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่ประกาศออกมา
*** WHA ยันเดินหน้าในธุรกิจหลัก
หุ้น WHA บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ถูกกระหน่ำเทขายออกมาอย่างหนัก เพราะเกรงถึงผลกระทบที่่จะตามมา จากที่คาดหวังว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย กลับอาจไม่เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบไปถึงผลการดำเนินงาน ขณะที่ "จรีพร จารุกรสกุล" ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยืนยันไม่มีผลกระทบโดยตรง เพราะโปรไฟล์ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งเน้นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่ยอมรับความเสี่ยงด้าน downside ที่เกิดจากสถานการณ์นี้ ขณะที่ผลงานปี 2567 ที่ผ่านมา สามารถทุบสถิติใหม่ ตอกย้ำถึงความสำเร็จจากความมุ่งมั่นของการเป็นผู้นำใน 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ด้านโบรกฯ บล.ทิสโก้ มองหุ้นลงแรงในช่วงที่ผ่านมาเป็นโอกาสในการเข้าสะสม และยังคงให้คำแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าที่เหมาะสม 4.90 บาท
*** GPSC แนะนำ "เล่นเก็งกำไร"
สำหรับ GPSC บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในครั้งนี้ เพราะอยู่ในธุรกิจพลังงาน โดย "วรวัฒน์ พิทยศิริ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เผยถึงแผนงานปีนี้ มุ่งแน้นดูแลในเรื่องกำไรของธุรกิจหลักได้ โดยเฉพาะเรื่องความสามารถจัดการการบริหารจัดการต้นทุนที่คาดปรับตัวลดลง พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 14,076 เมกะวัตต์ในปี 2572 เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่อยู่ที่ระดับ 7,058 เมกะวัตต์ ขณะที่โบรกฯ บล.เคจีไอ ให้คำแนะนำ "เก็งกำไร" ราคาเป้าหมาย 35.50 บาท หลังราคาหุ้นลงมาในจุดที่สะท้อนถึงปัจจัยลบและความเสี่ยงต่างๆ ไปมากพอสมควรแล้ว จนราคาหุ้นปัจจุบันเริ่มเห็น upside จากราคาพื้นฐาน
*** BEM ให้ราคาพื้นฐาน 11.30 บ./หุ้น
ขณะที่หุ้น BEM บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จากัด (มหาชน) หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว "ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์" กรรมการผู้จัดการ รีบส่งทีมงานวิศวกรและผู้เกี่ยวข้อง เข้าเนินการตรวจสภาพความพร้อมและประเมินความแข็งแรงของโครงสร้าง และความพร้อมใช้งานของระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้าอย่างละเอียดในทุกพื้นที่ของทางพิเศษและระบบรถไฟฟ้า พบว่ายังอยู่สภาพสมบูรณ์ พร้อมให้บริการด้วยความปลอดภัย นับว่ารวดเร็วทันใจ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้บริการ เป็ดนเรื่องที่น่าชื่นชม ขณะที่แผนธุรกิจ มั่นใจสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากจำนวนผู้โดยสารที่ปรับตัวสูงขึ้น จากกิจกรรมแนวเส้นทางรถไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งการเปิดโครงการ One Bangkok ขณะที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ก็มีงานต่อเนื่องตลอดปี ด้านโบรกฯ ค่าย บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ประเมินราคาพื้นฐานอยู่ที่ 11.30 บาทต่อหุ้น พร้อมให้คำแนะนำ "ซื้อ"
*** COCOCO แนะทยอยสะสม
ส่วนหุ้น COCOCO บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหุ้นที่มีพัฒนาการทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มออเดอร์ใหม่ โดย "ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป็น 1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2569 หลังจากเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าขยายตลาด ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การันตีในระยะยาวยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่โบรกฯ บล.ลิเบอเรเตอร์ ประเมินว่า รายได้จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มถูกกดดันจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง แต่การขยายธุรกิจไปฟิลิปปินส์จะมาแก้ปัญหานี้ และปิดความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้าในกลุ่มกะทิได้ เนื่องจากฟิลิปปินส์มีวัตถุดิบจำนวนมาก และเป็นพันธมิตรที่ดีกับสหรัฐฯ แนะนำ "ทยอยสะสม" ให้ราคาเป้าหมายที่ 7.90 บาทต่อหุ้น
*********************************